สปสช.แจ้งประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท หากมีอาการเข้าข่ายสงสัยป่วยโรคโควิด-19 ตามหลักเกณฑ์ล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุขที่ปรับปรุงเมื่อวันที่ 21 มี.ค.63 สามารถเข้ารักษา รพ.ตามสิทธิ ไม่เสียค่าใช้จ่าย หากอาการไม่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ แต่อยากทราบว่าติดเชื้อหรือไม่ ไม่ต้องไป รพ.เพื่อขอตรวจ จะเพิ่มความเสี่ยงรับเชื้อโดยไม่จำเป็น
สำหรับประชาชน สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสิทธิบัตรทอง 30 บาทนั้น หากมีอาการเข้าข่ายสงสัยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ให้โทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือรีบไปตรวจที่โรงพยาบาลตามสิทธิการรักษาพยาบาลของท่าน โดยต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ แจ้งประวัติ ไม่ปกปิดข้อมูลใด ๆ เพื่อตรวจเชื้อ หากพบว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19 จะได้รับการรักษาตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งโรงพยาบาลตามสิทธิของท่านจะประสานส่งตัวเข้ารับการรักษาอย่างมีมาตรฐานในโรงพยาบาล โดยผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาทไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
หลักเกณฑ์การเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2563 ดังนี้
1.ผู้ป่วยที่มีประวัติไข้ หรือวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง (ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเร็ว หรือหายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก) และมีประวัติในช่วง 14 วัน ก่อนวันเริ่มมีอาการ คือ
ก.มีการเดินทางไปหรือมาจากประเทศ หรือ อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการรายงานการระบาดต่อเนื่องของ COVID-19 หรือ
ข.เป็นผู้ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวที่มาจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของCOVID-19 หรือ
ค.มีประวัติใกล้ชิดหรือสัมผัสเสี่ยงสูงกับผู้ป่วยที่ยืนยัน COVID-19 ตามแนวทางการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค
ง.เป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือสารคัดหลังจากระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยสงสัยหรือยืนยัน COVID-19 โดยไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม
จ.มีประวัติไปในสถานที่ที่ประชาชนหนาแน่นที่พบผู้ป่วยยืนยันในช่วงเวลาเดียวกันตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดประกาศ
2.ผู้ป่วยปอดอักเสบที่มีประวัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
ก.มีประวัติใกล้ชิดกับผู้ป่วย COVID-19 หรือ
ข.เป็นบุคลากรทางการแพทย์ หรือ
ค.เป็นผู้ป่วยปอดอักเสบที่หาสาเหตุไม่ได้และรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นใน 48-72 ชั่วโมง หรือ
ง.เป็นผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่มีลักษณะเข้าได้กับ COVID-19
3.การพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน
ก.กรณีเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ตั้งแต่ 3 รายขึ้นไป ในแผนกเดียวกันในช่วงสัปดาห์เดียวกัน (หากสถานพยาบาลขนาดเล็ก เช่น คลินิก ใช้เกณฑ์ 3 รายขึ้นไปในสถานพยาบาลนั้นๆ)
ข.กรณีไม่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ตั้งแต่ 5 รายขึ้นไป ในสถานที่เดียวกัน ในช่วงสัปดาห์เดียวกันโดยมีความเชื่อมโยงกันทางระบาดวิทยา
อย่างไรก็ดี พบว่ามีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่หวาดกลัว แล้วต้องการไปขอรับการตรวจเชื้อจากโรงพยาบาล โดยที่ไม่มีอาการและประวัติการสัมผัสโรคและไม่เข้าเกณฑ์การเฝ้าระวังโรคอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งจะส่งผลให้โรงพยาบาลเกิดความแออัด และอาจทำให้ผู้ติดเชื้อตัวจริงเข้าไม่ถึงบริการ
ในกรณีนี้ สปสช.ขอแนะนำประชาชนให้ทำตามข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไม่แนะนำให้ไปขอตรวจและขอใบรับรองแพทย์เนื่องจาก
1.การไปตรวจหาเชื้อในช่วงที่ไม่มีอาการ โอกาสพบเชื้อน้อยมาก หรือหากตรวจแล้วพบว่าเป็นลบก็ไม่ได้ยืนยันว่าจะไม่ป่วยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะไปขอตรวจ ในขณะที่ไม่มีอาการ
2.การไปโรงพยาบาลโดยไม่มีความจำเป็น จะเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการได้รับเชื้อจากโรงพยาบาล และที่สำคัญอาจนำเชื้อต่าง ๆ ไปติดผู้ป่วยในโรงพยาบาลซึ่งมีร่างกายไม่แข็งแรงได้
3.เมื่อมีอาการตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข รีบไปตรวจที่โรงพยาบาลตามสิทธิของท่าน โดยต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ แจ้งประวัติ ไม่ปกปิดข้อมูลใด ๆ
โดยสรุปการปฏิบัติตัวสำหรับประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท คือ
1. หากมีอาการเข้าข่ายสงสัยป่วยโรคโควิด-19 รีบไปตรวจที่โรงพยาบาลตามสิทธิของท่าน กรณีไปต่างจังหวัดให้ไปที่โรงพยาบาลของรัฐ เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นผู้เสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 จะถูกส่งตัวรักษาตามกระบวนการของกระทรวงสาธารณสุข โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
2. หากอาการไม่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ แต่สงสัยเองว่าจะป่วยเป็นโรคโควิด-19 แล้วต้องการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เอง โดยที่แพทย์ไม่ได้วินิจฉัยให้ ต้องจ่ายเงินเอง ทั้งนี้ขอย้ำว่า ในกรณีนี้ไม่แนะนำให้ไปโรงพยาบาลเพื่อขอตรวจเอง แม้จะจ่ายเงินเอง แต่การไปโรงพยาบาลโดยไม่มีความจำเป็น จะเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการได้รับเชื้อจากโรงพยาบาล และเพิ่มภาระให้บุคลากรสาธารณสุขโดยไม่จำเป็น
แหล่งข้อมูล https://www.hfocus.org/content/2020/03/18778
http://healthydee.moph.go.th/view_article.php?id=739
ความคุ้มครองประชาชนสิทธิบัตรทอง กรณีมีอาการสงสัยป่วย "โรคโควิด-19"
ไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่
อาการป่วยใกล้เคียงกับโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไอ มีน้ำมูก คัดจมูก เจ็บคอ บางรายที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรง จะพบอาการหายใจเร็ว เหนื่อย ติดต่อได้ 2 ทาง ได้แก่ ทางตรง และทางอ้อม ดังนี้
1. ทางตรง จากการไอ จาม รดกัน โดยเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วยจะฟุ้งกระจายในอากาศ และคนที่อยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร หายใจเอาฝอยละอองเข้าไป ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อโรค
2. ทางอ้อม จากการใช้มือสัมผัสเชื้อโรค หรือสิ่งของเครื่องใช้สาธารณะที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ลูกบิดประตู ขอบประตู โทรศัพท์ ราวบันได ปุ่มกดลิฟท์ ราวจับบนรถสาธารณะ รถไฟฟ้า รถเข็นในซุปเปอร์มาเก็ต เมาส์ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ เป็นต้น และเอามือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้
ป้องกัน ไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางของสุขบัญญัติ
1. ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด
* อาบน้ำให้สะอาดทุกวัน ใส่เสื้อผ้าที่ซักสะอาด ตากแดดให้แห้ง
* ทำความสะอาดบ้านเรือน สิ่งของเครื่องใช้ ให้สะอาด โดยเฉพาะสิ่งของที่มีการใช้มือสัมผัสจับต้อง เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู เมาส์ คีย์บอร์ด โทรศัพท์ โต๊ะ เก้าอี้
* ถ้ามีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่อยู่ในบ้านเดียวกันให้แยกเสื้อผ้าผู้ป่วยซักต่างหาก
* หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดหรือใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ ช้อนอาหาร
2. รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง ดูแลสุขอนามัยในช่องปากให้เป็นนิสัย
3. หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ด้วยน้ำสะอาดและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือ
* ก่อนกินอาหาร หลังเข้าห้องน้ำห้องส้วม
* หลังการไอ จาม
* หลังหยิบจับสิ่งสกปรก หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยงทุกชนิด
* หลังสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้สาธารณะหรือที่ใช้ร่วมกัน เช่น ที่เปิดปิดประตู โทรศัพท์ราวบันได ปุ่มกดลิฟท์ ราวจับบนรถสาธารณะ รถไฟฟ้า รถเข็นในซุปเปอร์มาเก็ต เมาส์ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
* หลังการเยี่ยมผู้ป่วย
* เมื่อเดินทางถึงจุดหมาย เช่น เมื่อถึงโรงเรียน/ที่ทำงาน เมื่อถึงบ้าน
* พกแอลกอฮอล์เจลติดตัว ใช้ถูทำความสะอาดมือ 15 วินาที เมื่อไม่มีโอกาสล้างด้วยน้ำและสบู่
* ล้างมือให้เป็นนิสัยจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายและการติดต่อของโรค เพราะมือเป็นตัวกลางนำเชื้อโรคไปสู่ผู้อื่นและรับเชื้อมาสู่ตัวเอง
* ห้ามใช้มือที่ไม่ได้ล้าง จับต้องใบหน้า ตา จมูก ปาก
* ไม่ใช้มือแคะจมูกหรือขยี้ตา เพราะเชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุจมูกและตา
4. กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด
* กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และมีคุณค่าทางโภชนาการ
* กินผัก ผลไม้สด เป็นประจำทุกวันเพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักโขม บรอกโคลี ฝรั่ง ส้ม มะละกอ น้ำมะนาว
* ใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกับผู้อื่น
* ตักแบ่งน้ำจิ้มใส่ถ้วยเฉพาะคนในการกินอาหารร่วมกัน
* ห้ามกินอาหารสุกๆ ดิบๆ
5. งดบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ
6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
7. ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท
8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอและตรวจสุขภาพประจำปี
รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 วัน ๆ ละ 30 นาทีขึ้นไป ร่วมกับกินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มสุรา ตรวจสุขภาพทุกปี
9. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
* นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่นอนดึก
* สร้างความสุขให้ตัวเองด้วยการมองโลกในแง่บวก ทำกิจกรรมที่ชอบ ยิ้มบ่อยๆ
10. มีสำนึกส่วนรวมร่วมสร้างสรรค์สังคม
* เมื่อป่วย หรือมีอาการไข้หวัด ไอ จาม
สวมหน้ากากอนามัย โดยล้างมือก่อนสวมหรือเปลี่ยนหน้ากากอนามัย และเลือกขนาดให้กระชับพอดีกับใบหน้า สวมให้คลุมทั้งจมูกและปาก
- หน้ากากอนามัยที่ทำจากกระดาษ ควรเปลี่ยนทุกวันและทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิด
- หน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้า หลังใช้ซักให้สะอาดด้วยผงซักฟอกและตากแดดให้แห้งก่อนนำกลับมาใช้ใหม่
- เตรียมกระดาษทิชชูไว้ใกล้ตัว ใช้กระดาษทิชชูปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอจาม ทิ้งทิชชูลงในถังขยะที่มีฝาปิด แล้วล้างมือให้สะอาด
- ในกรณีจำเป็นไม่สามารถใช้ทิชชูได้ ให้ยกแขน ใช้แขนเสื้อท่อนบนปิดปากปิดจมูกแทนการใช้มือ
- ล้างมือบ่อยๆ ให้สะอาดอยู่เสมอ ด้วยน้ำสะอาดและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจล
- หยุดพักเรียน พักงาน พักผ่อนอยู่ที่บ้าน 3-7 วัน ลดการแพร่ระบาด
- งดหรือหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่มีคนรวมตัวกันจำนวนมาก ตลอดจนการร่วมกิจกรรมในที่สาธารณะและการเดินทาง
ผู้ที่มีประวัติเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือพื้นที่เสี่ยง หากมีไข้ และมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ภายใน 14 วัน หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ขอให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดเสมอ และ รีบปรึกษาเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุขทันที หรือโทร 1422 ปฏิบัติสุขบัญญัติ ให้เป็นนิสัย ไม่เสี่ยงและปลอดภัยจากไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่
แหล่งที่มา : แผ่นพับป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ด้วยสุขบัญญัติ กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
http://healthydee.moph.go.th/view_article.php?id=682 | |