บัตรประกันสังคมโรงพยาบาลราชบุรี

ผู้ประกันตนสามารถรับบริการรักษาที่โรงพยาบาลราชบุรีและสถานพยาบาลเครือข่ายทุกแห่ง
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตามสิทธิระเบียบประกันสังคม  
 สถานพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม โรงพยาบาลราชบุรี
1. โรงพยาบาลเจ็ดเสมียน
2. โรงพยาบาลวัดเพลง
3. โรงพยาบาลบางแพ
4. โรงพยาบาลปากท่อ
5. โรงพยาบาลสวนผึ้ง
6. โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง
7. ศูนย์บริการสาธารณสุข เทศบาลเมืองราชบุรี
8. สถานีอนามัยทุกแห่งในเขตจังหวัดราชบุรี  

                        สิทธิพิเศษบัตรประกันสังคม รพ.ราชบุรี     
                              1. การตรวจมะเร็งปากมดลูก (ฟรี)
                              2. เข้าพักรักษาอยู่ห้องพิเศษ ได้ส่วนลดพิเศษ 50 %
                              3. การตรวจสุขภาพประจำปี ได้ส่วนลดพิเศษ 10 %

                                              

กรณีประสบอันตรายเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน
ต้องใช้สิทธิกองทุนเงินทดแทน (กท.44) ในวงเงินเบื้องต้น  45,000 บาท
 
 หลักฐานในการใช้สิทธิ :
เอกสาร กท.44 ซึ่งนายจ้างต้องกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน
ถ้าไม่มีเอกสาร กท.44 ผู้ป่วยต้องชำระเงินเอง


 กรณีฝากครรภ์และคลอดบุตร
ผู้ประกันตนจะได้รับบริการดูแลตั้งแต่ฝากครรภ์ คลอดบุตร โดยใช้สิทธิชำระเงินเอง และเบิกเงินคืนที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด ในอัตราเหมาจ่าย 13,000 บาท
(เอกสารประกอบมีดังนี้ สูติบัตร ทะเบียนสมรส บัตรประจำตัวประชาชน)
- ผู้ประกันตนโรงพยาบาลราชบุรี ที่มีการเจ็บป่วยในขณะตั้งครรภ์และคลอดบุตรสามารถใช้สิทธิประกันสังคมโดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย
- ในกรณีคลอดบุตร ส่งเงินสมทบไม่ครบ 7 เดือน ทำหนังสือรับรองทำหนังสือรับรองจากสำนักงานประกันสังคม จังหวัดราชบุรีมาให้โรงพยาบาล เพื่อใช้สิทธิคลอดโดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย


                                                                                                                                                                  ที่มา:ฝ่ายประกันสุขภาพ รพ.ราชบุรี



12.10.54

สิทธิพรบ.ผู้ประสบภัยจากรถ ­

          กรณีอุบัติเหตุจากรถตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง ผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535

               ผู้ประสบภัยจากรถ หมายถึง ผู้ขับขี่รถ ผู้โดยสาร ผู้ซึ่งอยู่ในหรือบนหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของรถ หรือขณะกำลังขึ้น-ลงจากรถ และผู้ใช้ถนนหรือแม้แต่คนที่กำลังนอนอยู่ในบ้าน ผู้ที่ได้รับความเสียหายเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรืออนามัยอันเนื่องมาจากรถ ได้รับความคุ้มครองทั้งสิ้น โดยได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าเสียหายเบื้องต้น ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ไม่รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สิน
 รถประเภทใดที่ต้องทำประกันภัยพ.ร.บ.
          รถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ.ได้แก่รถทุกชนิดทุกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร ที่เจ้าของมีไว้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ไม่ว่ารถดังกล่าวจะเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์โดยสาร รถบรรทุก หัวรถลากจูง รถพ่วง รถบดถนน รถอีแต๋น ฯลฯ  ดังนั้นการที่มีรถบางประเภทกรมการขนส่งทางบกไม่รับจดทะเบียน แต่หากเข้าข่ายว่ารถนั้นเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่นแล้วก็จัดเป็นรถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ.
 ความเสียหายที่ได้รับความคุ้มครอง
          ผู้ประสบภัยจากรถจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิดภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำร้องขอ ซึ่งมีกฎกระทรวงกำหนดให้ความเสียหายที่จะให้ได้รับ ค่าเสียหายเบื้องต้น มีรายการดังนี้
1. กรณีได้รับบาดเจ็บแต่ไม่เสียชีวิต ผู้ประสบภัยจากรถจะได้รับค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ได้แก่
(ก) ค่ายา ค่าอาหารทางเส้นเลือด ค่าอ๊อกซิเจน และอื่นๆ ทำนองเดียวกันที่ใช้ในการบำบัดรักษา
(ข) ค่าอวัยวะเทียม และอุปกรณ์ในการบำบัดรักษารวมทั้งค่าซ่อมแซม
(ค) ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจรักษา ค่าวิเคราะห์โรค ทั้งนี้ไม่รวมถึงค่าจ้างพยาบาลพิเศษและค่าบริการอื่นทำนองเดียวกัน
(ง) ค่าห้องและค่าอาหารตลอดเวลาที่เข้ารักษาพยาบาล
(จ) ค่าพาหนะนำผู้ประสบภัยจากรถไปโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล
ในกรณีนี้ผู้ประสบภัยจากรถจะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้น ตามความเสียหายที่แท้จริงหรือเท่ากับจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 16,000 บาท
2. กรณีเสียชีวิตทันที ทายาทโดยชอบธรรมของผู้ประสบภัยจากรถจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น เป็นค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพผู้ประสบภัยจากรถ โดยจะได้รับชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 35,000 บาท ต่อหนึ่งคน
3. กรณีผู้ประสบภัยจากรถเข้ารักษาในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล และถึงแก่ความตายในภายหลัง จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นสำหรับเป็นค่ารักษาพยาบาล (15,000 บาท) และค่าปลงศพ (35,000 บาท) รวมกันแล้วไม่เกิน 50,000 บาท
ค่าเสียหายส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น ค่าเสียหายส่วนนี้ต้องรอพิสูจน์ถูกผิดก่อนผู้ประสบภัยจากรถจะได้รับค่าชดเชย

ค่าเสียหาย เมื่อรวมกับค่าเสียหายเบื้องต้นในข้อ 1-3 ที่กล่าวมา ดังนี้

(1) กรณีได้รับบาดเจ็บแต่ไม่เสียชีวิต ได้รับค่าเสียหายตามความจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อหนึ่งคน รวมแล้วไม่เกิน
(2) กรณีเสียชีวิตทันที ได้รับค่าชดใช้ค่าเสียหายรวมกันเป็นเงิน 100,000 บาทต่อหนึ่งคน
(3) กรณีผู้ประสบภัยจากรถถึงแก่ความตายหลังจากที่มีการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลได้รับค่าชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน100,000 บาทต่อหนึ่งคน (ค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 15,000บาท รวมแล้วต้องไม่เกิน 50,000 บาท)
หมายเหตุ เปลี่ยนแปลงตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 39/2546 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2546
กรณีมอบอำนาจให้สถานพยาบาล หลักฐานที่ผู้ประสบภัยจากรถจะนำมาแสดงเมื่อได้รับอุบัติเหตุ ดังนี้ (กรณีผู้ป่วยใน)
1. สำเนาบันทึกประจำวันของตำรวจ (แบบใช้เป็น “หลักฐาน” หรือ “คดี”) จำนวน 2 ชุด พร้อมร้อยเวรเซ็นชื่อรับรองสำเนา
2. สำเนาตารางกรมธรรม์ของบริษัทประกันภัยที่ผู้ประสบภัยประสบอุบัติเหตุ จำนวน 2 ชุด พร้อมเจ้าของรถเซ็นชื่อรับรองสำเนา
3. สำเนารายการจดทะเบียนรถ จำนวน 2 ชุด พร้อมเจ้าของรถเซ็นชื่อรับรองสำเนา
4. สำเนาสัญญาเช่าซื้อ (กรณีรถยังผ่อนชำระอยู่) จำนวน 2 ชุด พร้อมเจ้าของรถเซ็นชื่อรับรองสำเนา
5. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ประสบภัยจากรถ หรือสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ให้ใช้สำเนาสูติบัตร (ใบเกิด)และ
สำเนาบัตรประชาชนของบิดา/มารดา (ผู้บาดเจ็บ + เจ้าของรถ) จำนวน 2 ชุด พร้อมเซ็นชื่อรับรองสำเนา
6. สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประสบภัยจากรถ (ผู้บาดเจ็บ + เจ้าของรถ)จำนวน 2 ชุด พร้อมเซ็นชื่อรับรองสำเนา

*เจ้าของเอกสาร รับรองสำเนาถูกต้องและลงชื่อกำกับ ในเอกสารทุกฉบับ *

รายละเอียดสำคัญการแจ้งความในบันทึกประจำวันของตำรวจ ดังนี้
1. ลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ
2. วัน เวลา สถานที่เกิดอุบัติเหตุ
3. ชื่อ-นามสกุล พร้อมคำนำหน้า, อายุ, ที่อยู่ของ ผู้ประสบภัยจากรถ
4. ต้องระบุว่าผู้ประสบภัยจากรถ เป็น ผู้ขับขี่, ผู้โดยสาร/ซ้อนท้าย อยู่ในรถคันใด (ถ้ามีคู่กรณี)
5. ระบุยี่ห้อรถ,หมายเลขทะเบียนรถ,หมายเลขตัวถัง หรือเลขเครื่องยนต์ (ในกรณีที่เป็นรถใหม่) ให้ถูกต้องครบถ้วนและชัดเจนตามเอกสารตารางกรมธรรม์และสมุดคู่มือรถ
6. สำเนาบันทึกประจำวันตำรวจ ให้ร้อยเวรรับรองสำเนาถูกต้อง
กรณี ที่รถไม่ได้ต่อพ.ร.บ.(พ.ร.บ.รถขาด)ผู้ป่วยจะต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลในวงเงิน 15,000 บาท

ค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เกิน 15,000 บาท หากเป็นผู้มีสิทธิ สิทธิข้าราชการ สิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ฯลฯ  
สามารถใช้สิทธิต่อได้
                                                                                                          
ที่มา: ฝ่ายประกันสุขภาพ รพ.ราชบุรี


12.10.54

สิทธิระบบจ่ายตรงกรมบัญชีกลาง

 ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่จะเข้าร่วมโครงการระบบจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลได้จะต้องมีฐานข้อมูลในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐและข้อมูลของบุคคลนั้นจะต้อง “สมบูรณ์” จึงจะ มีสิทธิเข้าร่วมโครงการระบบจ่ายตรงได้ หากข้อมูล “ไม่สมบูรณ์” ผู้มีสิทธิจะต้องแจ้งนายทะเบียน ต้นสังกัด และส่งเอกสาร ฯลฯ เพื่อปรับปรุง แก้ไข ข้อมูลให้สมบูรณ์ หลังจากติดต่อนายทะเบียนต้นสังกัดแล้ว ประมาณ ๑๕ วันถึงจะตรวจสอบสิทธิได้
๑. กรณีตรวจสอบแล้ว พบว่า มีสิทธิ” ต้องลงทะเบียนสมัคร ณ สถานดพยาบาล ที่จะเข้ารับการรักษาก่อน สำหรับผู้ป่วยนอก จะสามารถใช้สิทธิระบบจ่ายตรงได้ หลังจากมีการลงทะเบียนแล้ว วัน และในช่วง วันนั้น หากมีการเข้ารับการรักษาพยาบาลให้สำรองจ่ายแล้วนำใบเสร็จเบิกกับต้นสังกัด

การลงทะเบียนสมัครเข้าระบบจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล ผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัว ลงทะเบียนที่สถานพยาบาลใด สามารถใช้ระบบจ่ายตรงได้เฉพาะสถานพยาบาลแห่งนั้น หากประสงค์ จะเข้าระบบจ่ายตรง ในสถานพยาบาลอื่นจะต้องลงทะเบียนสมัครในสถานพยาบาลนั้น ๆ ด้วย ถึงจะใช้ระบบจ่ายตรง กรณีผู้ป่วยนอกได้
๒. กรณีตรวจสอบแล้ว พบว่าไม่มีสิทธิ” ให้ผู้มีสิทธิติดต่อนายทะเบียนต้นสังกัดเพื่อตรวจสอบ ปรับปรุง และแก้ไขข้อมูลให้สมบูรณ์หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ กลุ่มงานสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (กสพ.) โทร.๐๒-๒๗๑๐๖๘๖-๙๐  เมื่อแก้ไขแล้วให้รออีกประมาณ ๑๕ วัน จึงจะสามารถตรวจสอบสิทธิได้ และสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการระบบจ่ายตรงได้
๓. กรณีที่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่มีสิทธิซ้ำซ้อนมีสิทธิประกันสังคมสิทธิองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและครูเอกชน เป็นต้นจะไม่สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการจ่ายตรงกรมบัญชีกลางได้
กรุณาตรวจสอบรายชื่อของท่านกับหน่วยงานต้นสังกัดก่อนมาติดต่อลงทะเบียนจ่ายตรงฯ หรือตรวจสอบรายชื่อของท่านได้ทางเว็บไซต์  www.cgd.go.th เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการให้บริการ
โรงพยาบาลราชบุรี เปิดรับสมัครโครงการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการข้าราชการ ติดต่อฝ่ายประกันสุขภาพ (ห้องเบอร์29)วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 16.30 น. โดยมีขั้นตอนรับสมัครดังนี้


ขั้นตอนที่ 1 ติดต่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์  ยื่นเอกสารพร้อมรับเบอร์คิว สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้สมัคร(ผู้สมัครที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ให้ใช้ สำเนาสูติบัตร หรือสำเนาทะเบียนบ้าน) 1 ฉบับ และสำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ (ผู้มีสิทธิเบิก) 1 ฉบับ


 โรงพยาบาลราชบุรี เปิดรับสมัครโครงการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการข้าราชการ ติดต่อฝ่ายดประกันสุขภาพ (ห้องเบอร์ 29) วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 16.30 น. โดยมีขั้นตอนรับสมัครดังนี้  ท่านสามารถมีสิทธิเบิกจ่ายตรงโรงพยาบาลราชบุรี ได้หลังจากมีการลงทะเบียนแล้ว 30 วัน
ขั้นตอนที่ 1 ติดต่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์  ยื่นเอกสารพร้อมรับเบอร์คิว สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้สมัคร การใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงโรงพยาบาลราชบุรี ยื่นเพียงบัตรประจำตัวประชาชนเพียงอย่างเดียวที่ห้องบัตร ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิเบิกจ่ายตรงเมื่อมาเข้ารับบริการ ที่โรงพยาบาลราชบุรี (กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ใช้สำเนาสูติบัตรหรือสำเนาทะเบียนบ้าน)
ระบบจ่ายตรงคุ้มครองกรณีการเจ็บป่วย
1. กรณีผู้ป่วยนอก สามารถใช้สิทธิได้ที่ โรงพยาบาลที่สมัครเท่านั้น
2. กรณีผู้ป่วยใน สามารถใช้สิทธิได้ในโรงพยาบาลของรัฐบาลทั่วประเทศ
ระบบจ่ายตรงไม่คุ้มครอง กรณี
1. การตรวจสุขภาพประจำปี
 2. การเกิดอุบัติเหตุจากรถ
กรณีประสบอุบัติเหตุจากรถที่มีประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถผู้ป่วยจะได้รับการคุ้มครอง ค่ารักษาพยาบาลจากพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถไม่เกิน 15,000 บาท
กรณี ที่รถไม่ได้ต่อพ.ร.บ.(พ.ร.บ.รถขาด)ผู้ป่วยจะต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลในวงเงิน 15,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เกิน 15,000 บาท หากเป็นผู้มีสิทธิข้าราชการสามารถใช้สิทธิข้าราชการต่อได้

กรณีสิทธิระบบจ่ายตรงของท่านถูกระงับสิทธิจากกรมบัญชีกลาง ขอให้ผู้มีสิทธิเบิกโทรสอบถามสิทธิได้ที่ กลุ่มงานสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (กสพ.) โทร. 02-271 0686 – 90
ท่านสามารถมีสิทธิเบิกจ่ายตรงโรงพยาบาลราชบุรี ได้หลังจากมีการลงทะเบียนแล้ว 30 วัน


ขั้นตอนที่ 1 ติดต่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์  ยื่นเอกสารพร้อมรับเบอร์คิว สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้สมัคร


ขั้นตอนที่ 2 ติดต่อห้องบัตรเพื่อออกเลขอนุมัติ



สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อสมัครเข้าร่วมระบบจ่ายตรง
กรณีผู้ป่วยนอก เมื่อท่านเจ็บป่วยเข้ามารักษาพยาบาลไม่ต้องสำรองเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล ทางสถานพยาบาลจะเบิกค่าใช้จ่ายที่ท่านมารักษาพยาบาล โดยตรงกับกรมบัญชีกลางเอง
กรณีผู้ป่วยใน ท่านสามารถใช้สิทธิได้ทั่วประเทศที่เป็นโรงพยาบาลของรัฐบาล โดยไม่ต้องทำหนังสือรับรองสิทธิจากหน่วยงานต้นสังกัดทางสถานพยาบาลจะขอเลขอนุมัติจากกรมบัญชีกลางแทนหนังสือรับรองสิทธิของท่าน


หลักฐานในการใช้สิทธิรักษาพยาบาล


          ท่านสามารถมีสิทธิเบิกจ่ายตรงโรงพยาบาลราชบุรี ได้หลังจากมีการลงทะเบียนแล้ว 30 วัน
ขั้นตอนที่ 1 ติดต่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ยื่นเอกสารพร้อมรับเบอร์คิว สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้สมัคร การใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงโรงพยาบาลราชบุรี ยื่นเพียงบัตรประจำตัวประชาชนเพียงอย่างเดียวที่ห้องบัตร ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิเบิกจ่ายตรงเมื่อมาเข้ารับบริการ ที่โรงพยาบาลราชบุรี (กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ใช้สำเนาสูติบัตรหรือสำเนาทะเบียนบ้าน)
          การใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงโรงพยาบาลราชบุรี ยื่นเพียงบัตรประจำตัวประชาชนเพียงอย่างเดียวที่ห้องบัตร ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิเบิกจ่ายตรงเมื่อมาเข้ารับบริการ ที่โรงพยาบาลราชบุรี (กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ใช้สำเนาสูติบัตรหรือสำเนาทะเบียนบ้าน)

ระบบจ่ายตรงคุ้มครองกรณีการเจ็บป่วย
1. กรณีผู้ป่วยนอก สามารถใช้สิทธิได้ที่ โรงพยาบาลที่สมัครเท่านั้น
2. กรณีผู้ป่วยใน สามารถใช้สิทธิได้ในโรงพยาบาลของรัฐบาลทั่วประเทศ
ระบบจ่ายตรงไม่คุ้มครอง กรณี
1. การตรวจสุขภาพประจำปี
2. การเกิดอุบัติเหตุจากรถ
กรณีประสบอุบัติเหตุจากรถที่มีประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ผู้ป่วยจะได้รับการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถไม่เกิน 15,000 บาท
กรณี ที่รถไม่ได้ต่อพ.ร.บ.(พ.ร.บ.รถขาด)ผู้ป่วยจะต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลในวงเงิน 15,000 บาทค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เกิน 15,000 บาท หากเป็นผู้มีสิทธิข้าราชการสามารถใช้สิทธิข้าราชการต่อได้
กรณีสิทธิระบบจ่ายตรงของท่านถูกระงับสิทธิจากกรมบัญชีกลาง ขอให้ผู้มีสิทธิเบิกโทรสอบถามสิทธิได้ที่ กลุ่มงานสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (กสพ.) โทร.02-271 0686 – 90

โรงพยาบาลราชบุรีเปิดรับสมัครโครงการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการข้าราชการ ติดต่อฝ่ายประกันสุขภาพ (ห้องเบอร์29)<วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 16.30 น. โดยมีขั้นตอนรับสมัครดังนี้

 ขั้นตอนที่ 3 ติดต่อฝ่ายประกันสุขภาพ(ห้องเบอร์29) รอเรียกชื่อตามเบอร์คิวเพื่อสแกนรายนิ้วมือ


ที่มา:ฝ่ายประกันสุขภาพ รพ.ราชบุรี

12.10.54

สิทธิบัตรประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว ­

สิทธิบัตรประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว ­  
       ขั้นตอนการใช้สิทธิ   
1. ใช้สิทธิที่โรงพยาบาลตามที่ระบุตามบัตร
 2. กรณีอุบัติเหตุ/ฉุกเฉิน ใช้สิทธิโรงพยาบาลอื่นไม่ได้ (ยกเว้นโรงพยาบาลตามบัตรรับผิดชอบ
 3. ใบส่งต่อ (กรณีบัตรโรงพยาบาลอื่น)
  
 2. เอกสาร ทร 38/1 หรือ บัตรประจำตัวแรงงานต่างด้าว
เอกสารประกอบแสดงการใช้สิทธิ 
1. บัตรสุขภาพแรงงานต่างด้าว
    

 สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ
1. การตรวจรักษาโรคและฟื้นฟูสภาพทั่วไป
-  การตรวจวินิจฉัยบำบัดรักษารวมทั้งการดูแลทารกแรกเกิดตั้งแต่วันคลอดจนถึงอายุ 28 วัน การฟื้นฟูสภาพทางการแพทย์จนสิ้นสุดการรักษา ตลอดจนการแพทย์ทางเลือกที่ผ่านการรับรองของคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะ
-  การถอนฟัน (รวมถึงการผ่าหรือถอนฟันคุด) การอุดฟัน การขูดหินปูน
-  บริการอาหารและห้องผู้ป่วยสามัญ
-  ยาและเวชภัณฑ์ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ
-  การจัดส่งต่อเพื่อการรักษาระหว่างสถานพยาบาล
2. บริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันและควบคุมโรคที่ได้รับการคุ้มครอง
-  การจัดให้มีและใช้สมุดบันทึกสุขภาพประจำตัวในการดูแลสุขภาพแต่ละบุคคลอย่างต่อเนื่อง
-  การตรวจและดูแลเพื่อส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ ตลอดจนการให้บริการ ดูแลหลังคลอด
-  การตรวจสุขภาพกลุ่มเสี่ยง
-  การให้ยาต้านไวรัสเอดส์ กรณีเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากแม่สู่ลูก
-  การวางแผนครอบครัว
-  การเยี่ยมบ้าน (Home Visit) และการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Health Care)
-  การให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ผู้รับบริการในระดับบุคคลและครอบครัว
-  การให้คำปรึกษา (Couseling) สนับสนุนให้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ
-  การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปาก ได้แก่ การตรวจสุขภาพช่องปาก แนะนำด้านทันตสุขภาพ การให้ฟลูออไรด์เสริมในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรคฟันผุ
- การควบคุมป้องกันโรค  

สิทธิประโยชน์ที่ไม่คุ้มครอง
1. โรคจิต
2. การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาและสารเสพติดตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด
3. ผู้ประสบภัยจากรถที่สามารถใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
4. ผู้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงานที่สามารถใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537
5. การรักษาภาวะมีบุตรยาก
6. การผสมเทียม
7. การผ่าตัดแปลงเพศ
8. การกระทำใดๆ เพื่อความสวยงาม โดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
9. การตรวจ วินิจฉัย และรักษาใดๆ ที่เกินความจำเป็นและข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
10. โรคเดียวกันที่ต้องใช้ระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาลประเภทผู้ป่วยในเกิน 180 วันยกเว้นหากมีความจำเป็นต้องรักษาต่อเนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อนหรือข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
11. การรักษาที่ยังอยู่ในระหว่างการค้นคว้าทดลอง
12. การรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายด้วยการล้างไต (Peritoneal Dialysis) และการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Haemodialysis)
13. ยาต้านไวรัสเอดส์ ยกเว้น กรณีเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากแม่สู่ลูก
14. การเปลี่ยนอวัยวะ (Organ Transplant)15.การทำฟันปลอม
ที่มา:ฝ่ายประกันสุขภาพ รพ.ราชบุรี


04.10.54

โรงพยาบาลราชบุรี เปิดรับสมัครแพทย์ "โครงการสุขใจใกล้บ้าน"

         โดยทำหน้าที่ตรวจรักษาผู้ป่วยโรคทั่วไป ที่คลินิกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลราชบุรี สาขา หน้าเมือง (โรงเจประปา), สาขาพิกุลทอง, สาขาอ่างทอง, สาขาบ้านไร่ และสาขาเจดีย์หัก จำนวน ๕ อัตรา        ปฏิบัติงาน วันจันทร์-วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา ๘.๓๐ -๑๖.๓๐ น.(ยกเว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์) โดยมีอัตราค่าตอบแทน ๖๐,๐๐๐ บาท/ เดือน ในกรณีที่ปฏิบัติงานเกินกว่า ๒๐ วัน จะได้รับค่าตอบแทน เพิ่มขึ้นอีก ๓,๐๐๐ บาท/วัน พร้อมสวัสดิการอาหารกลางวัน


          แพทย์ผู้สนใจ ขอเชิญสมัครได้ที่ นพ.ธนะบุญ ประสานนาม หัวหน้ากลุ่มงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลราชบุรี โทร.๐๓๒-๗๑๙๖๐๐ ต่อ ๑๕๑๗ ในเวลาราชการ


21.09.54

ผู้ป่วยห้องพิเศษ

โดยทั่วไป “ห้องพิเศษ” ในโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ จะมีอาจารย์แพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ประจำบ้านในหอผู้ป่วยพิเศษนั้นเข้าไปดูแลผู้ป่วย จะไม่มีอาจารย์แพทย์อื่นหรือแพทย์ประจำบ้านอื่นๆ หรือแพทย์ฝึกหัดหรือนักศึกษาแพทย์เข้าไปดูแลผู้ป่วยด้วยเลย และพยาบาลในหอก็จะเข้าไปดูผู้ป่วยน้อยมาก นอกจากจะจ้าง “พยาบาลพิเศษ” เฝ้าผู้ป่วยอยู่ในห้องโดยเฉพาะ จึงต้องมีญาติ 1 คนอยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลาถ้าไม่มี “พยาบาลพิเศษ” เพราะถ้าผู้ป่วยจะเข้าห้องน้ำ หรือหกล้ม หรือเป็นลมหมดสติไป แพทย์และพยาบาลที่อยู่นอกห้องจะไม่ทราบเลย
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้ผู้ป่วยมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด จึงไม่ค่อยมีแพทย์-พยาบาลเข้าไปดูผู้ป่วยบ่อยๆ นอกจากในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เช่น ผู้ป่วยอาการหนักซึ่งในกรณีเช่นนั้น มักจะต้องจ้าง “พยาบาลพิเศษ” ให้มาช่วยเฝ้าผู้ป่วย เนื่องจาก “หอผู้ป่วยพิเศษ” จะมีแพทย์และพยาบาลน้อยมาก
ผิดกับ “หอผู้ป่วยธรรมดา” ที่รับผู้ป่วยนอนรวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีแพทย์และพยาบาลจำนวนมาก รวมทั้งอาจารย์แพทย์ อาจารย์พยาบาล ที่ต้องหมุนเวียนเข้าไปสอนแพทย์ประจำบ้าน แพทย์ฝึกหัด นักศึกษาแพทย์ และนักศึกษาพยาบาล โดยผู้ป่วยแต่ละคนเปรียบเสมือน “อาจารย์” ให้แพทย์และพยาบาลได้ศึกษาและฝึกหัดการรักษาพยาบาลภายใต้การควบคุมของอาจารย์ (ซึ่งผู้ป่วยพิเศษจะไม่ได้รับโอกาสนี้)
ผู้ป่วยแต่ละคนจึงมีคนไปตรวจและไปดูแลเกือบตลอดเวลา อีกทั้งผู้ป่วยที่นอนอยู่เตียงข้างกันหรือใกล้กันก็จะช่วยดูและบ่อยครั้งก็จะคุยปรับทุกข์กัน ทำให้คลายเหงาและระบายความทุกข์ไปได้บ้าง เมื่อต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน
แต่ในผู้ป่วยบางคนไม่ยอมให้นักศึกษา หรือแพทย์ฝึกหัด/แพทย์ประจำบ้าน ตรวจรักษาตน ในกรณีเช่นนี้ก็ไม่ควรเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ เพราะในโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ อาจารย์แพทย์จะมีเวลามาตรวจรักษาผู้ป่วยโดยตรงตลอดเวลาน้อยมาก และจะเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยมากกว่าการยอมให้นักศึกษาแพทย์และแพทย์ฝึกหัด แพทย์ประจำบ้านได้ดูแลผู้ป่วย
การอยู่ใน “หอผู้ป่วยธรรมดา” จึงมักจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยอาการหนักมากกว่าใน “หอผู้ป่วยพิเศษ” หรือใน “ห้องพิเศษ” ดังตัวอย่างกรณีผู้ป่วยรายนี้ที่เข้าไปอยู่ในห้องพิเศษ แล้วไม่มีแพทย์สนใจเข้าไปดูแลอย่างเพียงพอ   : นพ.สันต์ หัตถึรัตน์


http://www.elib-online.com/doctors50/med_patent100.html


15.09.54