การแสดงหลักฐานยืนยันตัวบุคคลเพื่อการใช้สิทธิการรักษาพยาบาล

  


ผู้ป่วยจะต้องนำหลักฐานยืนยันตัวบุคคลอย่างหนึ่งอย่างใด มาแสดงทุกครั้งที่เข้ารับบริการ 
  • บัตรประชาชน ตัวจริง หรือ
  • สูติบัตร หรือทะเบียนบ้าน กรณีที่ผู้ป่วยยังไม่มีบัตรประชาชน หรือ
  • เอกสารอื่นๆ ที่ทางราชการออกให้ ที่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้
ถ้าไม่มีหลักฐานมาแสดง ท่านสามารถเข้ารับการตรวจรักษาได้ตามปกติ 
แต่สิทธิกาารักษาจะเป็น "ชำระเงินเอง"  และสามารถนำหลักฐาน(บัตรประชาชนตัวจริงและใบเสร็จรับเงินตัวจริง) มาขอคืนเงินได้ในภายหลังที่ฝ่ายการเงิน โดยให้ติดต่อยื่นคำร้องที่ งานเวชระเบียน ห้องเบอร์4 ในวันเวลาราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป

ยกเว้น
  • สิทธิข้าราชการ ไม่สามารถขอคืนเงินได้....ให้นำใบเสร็จไปเบิกจากต้นสังกัด
  • สิทธิบัตรทอง รพ.อื่น(นอกเขต และ ต่างจังหวัด)...ต้องมีหนังสือส่งตัวจากโรงพยาบาลตามสิทธิด้วย

      







03.10.53








การให้บริการแก่พระภิกษุและสามเณร

การให้บริการแก่พระภิกษุและสามเณร

ในการเข้ารับบริการ จำเป็นต้องแสดงบัตรประชาชน เพื่อการยืนยันตัวบุคคลและการตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาล
1.กรณีมีหลักฐานมาแสดง(บัตรประชาชน) ให้ใช้สิทธิ์ได้ตามที่ตรวจพบจากWebsite เช่น บัตรทองในเขต ,บัตรทองนอกเขต/ต่างจังหวัด (ต้องมีหนังสือส่งตัว),เบิกได้,จ่ายตรง
2.กรณีไม่มีหลักฐานมาแสดง ให้สิทธิ ชำระเงินเอง ไปก่อน และส่งฝ่ายสวัสดิการสังคม (ห้อง 29) พิจารณาสิทธิฯ



03.10.53

สิทธิการรักษาพยาบาลของเจ้าหน้าที่ รพ.ราชบุรี

กรณี เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลราชบุรี
1.มีหลักฐานมาแสดง (บัตรประชาชน/ทะเบียนบ้าน) ให้ใช้สิทธิ์ได้ตามที่ตรวจพบจาก Website             
2.ไม่มีหลักฐานมาแสดง ให้ตรวจสอบในโปรแกรม HOSxP หากระบุ  “ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลราชบุรี”   ให้อนุโลมใช้สิทธิ์ได้ตามบันทึกเดิมในโปรแกรม HOSxP
**สิทธิ์ประกันสังคม พิมพ์ใบสั่งยา 35 จนท.รพ.ใช้สิทธิ์ประกันสังคม
     กรณีญาติสายตรง (บิดา มารดา คู่สมรส บุตร)
          1.มีหลักฐานมาแสดง (บัตรประชาชน/ทะเบียนบ้าน) ให้ใช้สิทธิ์ได้
          2.ไม่มีหลักฐานมาแสดง หากเป็น ญาติสายตรง ให้อนุโลมใช้สิทธิ์ได้ตามบันทึกเดิมในโปรแกรม HOSxP   (เฉพาะสิทธิ์ 20,22,23,24,34,35,91)
         **สิทธิ์ 92,93,36 ต้องแสดงหลักฐาน(บัตรประชาชนและหนังสือส่งตัว) 
              หากไม่มี ให้พิมพ์ใบสั่งยา 10 ชำระเงินเอง 
    กรณีญาติอื่นๆ ,คนรู้จัก, ฝากรับยาแทน ฯลฯ
        1.มีหลักฐานมาแสดง (บัตรประชาชน/ทะเบียนบ้าน) ให้ใช้สิทธิ์ได้
        2.ไม่มีหลักฐานมาแสดง ใช้สิทธิ์ 10 ชำระเงินเอง  หรือ 20 ข้าราชการเบิกได้ หรือ  23 ข้าราชการท้องถิ่น หรือ 24 พนักงานรัฐวิสาหกิจ  แล้วแต่กรณี




03.10.53

การ Admit ที่หอผู้ป่วย 5A และ5B

1.การ Admit ให้สลับระหว่าง 5A และ5B
2.ก่อนทำ Admit แต่ละรายให้ตรวจสอบการ Admit ครั้งล่าสุดว่าเคยAdmit หรือไม่และจำหน่ายเมื่อไร
3.ถ้าการ Admit ครั้งใหม่นี้อยู่ภายในระยะเวลา72 ชั่วโมง(3 วัน) หลังจากจำหน่ายครั้งล่าสุดให้ Admit ไปที่หอผู้ป่วยเดิม เช่น นายกเคย Admit ที่5A จำหน่ายวันที่ 1 ตุลาคม2553 และวันที่
3 ตุลาคม2553 มาAdmit ใหม่ด้วยโรคเดิมให้ Admit ที่5A เหมือนเดิม(ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์และเจ้าหน้าที่ER ด้วย)
4.และในรายถัดไปให้ Admit ที่ 5B  ซ้ำ 2ราย
*** ต้องตรวจสอบสิทธิ์ทุกราย




03.10.53                      

ความปลอดภัยเอกสารอิเล็กทรอนิกส์

ความปลอดภัยของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งที่สำคัญต่อกระบวนการจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งซอฟต์แวร์จัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์จะต้องสามารถจัดการได้ ประกอบด้วย
1)      การรักษาความลับ (Confidentiality) ไม่ให้ผู้ไม่มีอำนาจสามารถเข้าถึงเอกสารอิเล็กทรอนิกส์นั้น ๆ ได้ วิธีการรักษาความลับ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการเข้ารหัส โดยหน่วยงานจะต้องมีการกำหนดนโยบายหรือระเบียบข้อบังคับ ในการรักษาความลับของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ มีข้อพึงระวังสำหรับการใช้เวิร์ดโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ จะมีความสามารถในการติดต่อกับเซิฟเวอร์ของผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ซึ่งอาจจะมีการ รับ-ส่ง ข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถทราบได้
2)      ความถูกต้องสมบูรณ์ (Integrity) ครบถ้วนของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ตัวเอกสารอิเล็กทรอนิกส์จะต้อง ไม่ขาดหาย ไม่ถูกแก้ไข และต้องมั่นใจได้ว่าเอกสารฉบับที่ส่งไปถึงผู้รับหรือจัดเก็บไว้ เป็นฉบับจริงที่ไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงใด ๆ หรือแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดของเอกสาร
3)      ความพร้อมใช้งาน (Availability) เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ต้องสามารถเรียกใช้งานได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการป้องกันการสูญหายจากการที่ระบบล้มเหลว การได้รับความเสียหายทางกายภาพ จากภัยพิบัติ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม
4)      การพิสูจน์ตัวตน (Authenticity) ว่าเป็นเอกสารฉบับจริง ไม่ใช่เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่ถูก คัดลอก ปลอม แปลง ซึ่งอาจจะกระทำด้วยการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือระบบติดตามเอกสาร หรือระบบอื่น ๆ ที่เหมาะสม  (การจัดการเอกสารอิเลคทรอนิกส์: พ.อ.สุทธิศักดิ์ สลักคำ)


03.10.53

ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ EMR

ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์
คำนิยาม :
เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ EMR (Electronic  Medical  Record) หมายถึง เวชระเบียนโรงพยาบาลราชบุรี ทุกรายที่ถูกบันทึกลงในสื่ออิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ โดยใช้หลักการถ่ายจากภาพจริงหรือถ่ายภาพจากเอกสารกระดาษ แปลงไปเป็นไฟล์ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ชนิดรูปภาพ โดยการสแกนหรือวิธีอื่นใดในอนาคต ที่มีความพร้อมใช้งาน (Availability)คือสามารถเรียกใช้งานได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ผ่านระบบเครือข่ายเชื่อมต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่นๆ ของผู้รับ  แทนการส่งเวชระเบียนที่อยู่ในรูปแบบของเอกสารที่ใช้กระดาษ 
หลักการและเหตุผล
เวชระเบียนเป็นเอกสารที่มีข้อมูลการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยที่เอื้อประโยชน์ต่อการเรียนการสอน การบริหารจัดการ การเงินการคลังและทางด้านกฎหมาย อีกทั้งเป็นเอกสารหลักฐานที่จะต้องเก็บไว้ตามเกณฑ์ของแพทย์สภา เพื่อประโยชน์ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยให้ต่อเนื่อง  เวชระเบียนที่ถูกส่งเข้ามาที่หน่วยงานในแต่ละวัน  มีจำนวนมากและมีความหนาเพิ่มขึ้นซึ่งต้องใช้สถานที่และวัสดุอุปกรณ์ ในการจัดเก็บอย่างมหาศาล จึงทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงานคือเวชระเบียนที่จะถูกจัดเก็บตามตู้ต่างๆ ภายในหน่วยงานไม่เพียงพอ ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อตู้  แฟ้ม  กระดาษ  และเปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บ  ส่วนการสืบ/ค้นเวชระเบียนยังเป็นแบบ Manual  ทำให้เกิดความล่าช้าในการค้นหาเวชระเบียน รวมถึงการจัดส่งเวชระเบียนไปยังแผนกหรือหน่วยงานอื่นล่าช้า  งานเวชระเบียน โรงพยาบาลราชบุรี ได้เริ่มต้นนำระบบ Scan มาใช้ในการจัดเก็บเวชระเบียน  ซึ่งเริ่มใช้ในเดือนกันยายน 2548 มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดเก็บในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิคส์ และมีเป้าหมายที่จะ Scan เวชระเบียนผู้ป่วยใน  ที่จำหน่ายในปี พ..2549 แต่การดำเนินงานไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เนื่องจากปัญหาหลาย ๆ ประการ เช่น ไม่มีการจัดตั้งหน่วย Scan ไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอ ไม่มีระบบการเชื่อมต่อกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล ไม่มีผู้ดูแลระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ฯลฯ  งานเวชระเบียน สามารถ Scan ได้เฉพาะเวชระเบียนผู้ป่วยใน  กรณีประกันชีวิต คดีความ ร้องเรียน และรักษาต่อเนื่องเท่านั้น ซึ่งไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
ปัจจุบัน ระบบนี้ ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร 



03.10.53

จรรยาบรรณวิชาชีพเวชระเบียน

งานเวชระเบียนนั้นเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการใช้และการเก็บรักษาข้อมูลทางการแพทย์อันได้แก่ข้อมูลทางด้านการรักษาและข้อมูลสถานะสุขภาพต่าง ๆเพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยการบริหารจัดการและเพื่ออ้างอิงในการศึกษาวิจัยของนักวิชาการเวชระเบียนที่ดีแสดงถึงคุณภาพการรักษาและบริการที่ดีด้วยและเพื่อการรับรองคุณภาพดังกล่าวนักเวชระเบียนควรมีบัญญัติพื้นฐานเพื่อการปฏิบัติสำหรับสมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพเวชระเบียนดังนั้นสมาคมเวชระเบียนแห่งสหรัฐอเมริกาจึงได้กำหนดจรรยาบรรณสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเวชระเบียนขึ้นมา
ประมวลจรรยาบรรณดังกล่าวข้างต้นเป็นหลักปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายในวิชาชีพเวชระเบียนซึ่งจะมีผลผูกพันต่อผู้ที่เป็นสมาชิกของสมาคมเวชระเบียนแห่งสหรัฐอเมริกาและบุคคลอื่นๆซึ่งได้รับการรับรองจากสมาคมนี้หลักจรรยาบรรณดังกล่าวประกอบด้วย
  1. บริการย่อมมาก่อนผลประโยชน์อื่นใดมีความซื่อสัตย์สุจริตในวิชาชีพโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตัวให้ความสนใจต่อผู้ป่วย (ลูกค้า)โดยเท่าเทียมกันโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติเพื่อนำชื่อเสียงเกียรติคุณมาสู่ตนเองสู่สมาคมและสู่วิชาชีพเวชระเบียน
  2. เก็บรักษาเวชระเบียนที่อยู่ในความดูแลของตนโดยถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล(ความลับ)โดยไม่มีการเปิดเผยหรือทำลายนอกจากจะเป็นไปตาม กฎระเบียบอายุความหรือนโยบายของผู้บริหาร
  3. ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้บังคับบัญชา(นายจ้าง) มอบหมายด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
  4. หลีกเลี่ยงการกระทำหรือการปกปิดการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อจริยธรรมอันดี
  5. เปิดเผยข้อมูลในเวชระเบียนต่อผู้เป็นเจ้าของเวชระเบียนโดยตรง(ตัวผู้ป่วย)ไม่เปิดเผยข้อมูลในเวชระเบียนโดยไม่จำเป็นยกเว้นจะเป็นการใช้เพื่อเป็นหลักฐานตามกฎหมายหรือเป็นไปตามกฎระเบียบอื่น ๆ
  6. รักษากฎระเบียบต่าง ๆที่กำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการเวชระเบียนอย่างเคร่งครัด
  7. ยอมรับเงินค่าบริการต่างๆ เฉพาะที่กำหนดไว้ในกฎหมายหรือตามธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งตนควรจะได้ตามหน้าที่
  8. หลีกเลี่ยงการก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลอื่นและไม่แสดงอำนาจการตัดสินใจที่นอกเหนือขอบเขตที่ตนเองรับผิดชอบอยู่
  9. พยายามแสวงหาความรู้เพิ่มเติมหมั่นฝึกฝนและพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อการบริการทางสาธารณสุขที่ดีมีสุขภาพ
  10. มีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคลากรและเสริมสร้างความเข้มแข็งในวิชาชีพตลอดจนการเผยแพร่สาขาวิชาชีพเวชระเบียนให้เป็นที่รู้จักแก่สาธารณะ
  11. ในฐานะเจ้าหน้าที่เวชระเบียนจะต้องเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล(ความลับ) ของผู้ป่วยและเผยแพร่ข้อมูลขององค์กรในลักษณะภาพรวมทั้งหมด
  12. บอกกล่าวความจริงอย่างละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาประสบการณ์ต่าง ๆของตนต่อผู้บังคับบัญชา (นายจ้าง)หรือว่าที่นายจ้างในอนาคต
ที่มา :ชมรมเวชระเบียนและสถิติแห่งประเทศไทย




03.10.53